MATRIX HIFU ยกกระชับหน้าเรียว
โปรแกรมใหม่ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยของใบหน้าให้ตึงขึ้นได้โดนไม่ต้องผ่าตัดซึ่งตอบโจทย์ความงามของคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ปัญหาคางสองชั้น มีชั้นไขมันส่วนเกินใต้คางและแก้มที่ต้องการยกกระชับผิว มีใบหน้าเรียวขึ้น แต่กลัวเจ็บ กลัวเข็ม นวัตกรรมใหม่ในการยกกระชับใบหน้า HIFU นี้จะทำการปล่อยพลังงานคลื่น Ultrasound ความเข้มข้นสูง
Hifu (High Intensity Focused Ultrasound) เป็นนวัตกรรมความงามที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นวิธียกกระชับผิวและลดริ้วรอยโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น
Matrix Hifu คือ อะไร ช่วยอะไรบ้าง
คือ นวัตกรรมยกกระชับผิวและลดริ้วรอยแบบไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้พลังงานคลื่นความถี่สูงแบบเฉพาะจุด (Focused Ultrasound) ปล่อยพลังงานลงสู่ชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่แพทย์ศัลยกรรมใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า เมื่อพลังงานคลื่นความถี่สูงทำปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อในชั้น SMAS จะทำให้เนื้อเยื่อเกิดการหดตัวและเกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวกระชับ ริ้วรอยลดลง หน้าเรียวขึ้น
MATRIX HIFU
- ยิง MATRIX HIFU 1 ช็อต = 6 ช็อต ของ HIFU ธรรมดาทั่วไป
- เก็บเหนียง สลายไขมัน
- แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยให้กระชับเต่งตึง
- กรอบหน้าชัด ใบหน้าเรียว V Shape
- ไม่ใช้เข็ม ไม่เจ็บ
- ไม่ต้องพักฟื้นใช้ผิวต่อได้เลยทันที
ระยะเวลาในการเห็นผล
เห็นผลทันทีหลังทำ 10 นาที เริ่มเห็นการสร้าง Collagen ผิวจะค่อยๆ เรียบเนียนและยกกระชับขึ้นผลชัดเจนสัปดาห์ที่ 2-4 ผลเต็มที่ประมาณ 2-4 เดือน ผลการรักษาอยู่ได้นานถึง 1 ปี
หลักการการทำงานของ Hifu
Hifu ใช้พลังงานคลื่นความถี่สูงแบบเฉพาะจุด (Focused Ultrasound) ปล่อยพลังงานลงสู่ชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่แพทย์ศัลยกรรมใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า เมื่อพลังงานคลื่นความถี่สูงทำปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อในชั้น SMAS จะทำให้เนื้อเยื่อเกิดการหดตัวและเกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวกระชับ ริ้วรอยลดลง หน้าเรียวขึ้น
hifu ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
โดยมีประโยชน์อีกมากมายในด้านความงาน อาทิเช่น
- ยกกระชับผิว
- ลดริ้วรอย
- ปรับรูปหน้าให้เรียวสวย
- ลดเหนียง
- ยกคิ้ว
- ลดถุงใต้ตา
หลังทำ hifu ไปแล้ว ผลลัพท์ อยู่ได้นานไหม
ผลลัพธ์ของการทำ Hifu จะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- สภาพผิวของผู้รับการรักษา : ผู้ที่มีอายุน้อย มีผิวที่แข็งแรง ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานกว่าผู้ที่มีอายุมาก มีผิวที่อ่อนแอ
- บริเวณที่ทำ Hifu : บริเวณที่เนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่นสูง เช่น หน้าผาก แก้ม ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานกว่าบริเวณที่เนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่นต่ำ เช่น คอ
- การดูแลตัวเองหลังทำ Hifu : หากดูแลตัวเองหลังทำ Hifu อย่างเหมาะสม เช่น ทาครีมบำรุงผิว หลีกเลี่ยงการโดนแดด ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานกว่า
ผลลัพธ์หลังทำ Hifu กี่วันถึงจะเห็นผล
ผลลัพธ์ของการทำ Hifu จะค่อยๆ ปรากฏให้เห็นภายใน 1-2 สัปดาห์ และจะเห็นผลชัดเจนภายใน 1-2 เดือน โดยผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด ได้แก่
- ผิวกระชับขึ้น
- ริ้วรอยลดลง
- หน้าเรียวขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของการทำ Hifu ไม่สามารถอยู่ได้ตลอดไป เมื่อเวลาผ่านไป ผลลัพธ์จะค่อยๆ ลดลง จึงอาจต้องทำซ้ำทุก 1-2 ปี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีอยู่เสมอ
ราคาการทำ Hifu
ราคาการทำ Hifu ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น บริเวณที่ทำ Hifu ชนิดของอุปกรณ์ที่ใช้ และประสบการณ์ของแพทย์ ราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20,000-100,000 บาท
ข้อควรระวังก่อนทำการรักษาด้วย Hifu
ก่อนทำการรักษาด้วย Hifu นั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
การทำ Hifu แล้วหน้าไหม้ เกิดจากอะไร
การหน้าไหม้หลังทำ Hifu เกิดจากพลังงานคลื่นความถี่สูงที่ปล่อยลงสู่ชั้น SMAS มากเกินไป ทำให้ผิวชั้นบนได้รับความร้อนสูงเกินไปจนเกิดการไหม้ได้ โดยปัจจัยที่อาจทำให้หน้าไหม้หลังทำ Hifu มีดังนี้
- ความเข้มข้นของพลังงานคลื่นความถี่สูง : โดยทั่วไป คลินิกจะใช้พลังงานคลื่นความถี่สูงที่เข้มข้นในระดับที่ปลอดภัย แต่หากคลินิกใช้พลังงานคลื่นความถี่สูงที่เข้มข้นมากเกินไป อาจทำให้ผิวไหม้ได้
- จำนวนช็อต : โดยทั่วไป คลินิกจะใช้จำนวนช็อตที่เพียงพอในการยกกระชับผิวและลดริ้วรอย แต่หากคลินิกใช้จำนวนช็อตมากเกินไป อาจทำให้ผิวไหม้ได้
- ประสบการณ์ของแพทย์ : แพทย์ที่มีประสบการณ์จะมีความชำนาญในการปรับพลังงานคลื่นความถี่สูงให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล จึงช่วยลดความเสี่ยงในการหน้าไหม้ได้
อาการหน้าไหม้หลังทำ Hifu มักมีอาการดังนี้
- ผิวหน้าแดง
- รู้สึกแสบร้อน
- ผิวแห้งลอก
- เกิดรอยแดงหรือรอยดำ
หากมีอาการหน้าไหม้หลังทำ Hifu ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา การรักษาอาจใช้ยาทาหรือยารับประทานเพื่อลดอาการอักเสบและฟื้นฟูผิว
วิธีป้องกันหน้าไหม้หลังทำ Hifu มีดังนี้
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำ Hifu
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์และยาที่รับประทานอยู่
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หากปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้น จะช่วยช่วยลดความเสี่ยงในการหน้าไหม้หลังทำ Hifu ได้
ทำ hifu ที่ไหนดี ควรเลือกจากอะไร
การเลือกคลินิกทำ Hifu ที่ดี ควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- มาตรฐานของคลินิก : คลินิกควรได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง มีมาตรฐานความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดี
- ประสบการณ์ของแพทย์ : แพทย์ที่ทำ Hifu ควรมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการทำ Hifu เป็นอย่างดี
- อุปกรณ์ที่ใช้ : คลินิกควรใช้อุปกรณ์ Hifu ที่มีคุณภาพและทันสมัย
- ราคา : ราคาการทำ Hifu ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น บริเวณที่ทำ Hifu ชนิดของอุปกรณ์ที่ใช้ และประสบการณ์ของแพทย์ ควรเปรียบเทียบราคาจากคลินิกต่างๆ ก่อนตัดสินใจ
นอกจากนี้ ยังสามารถพิจารณาจากปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น
- รีวิวจากลูกค้า : ศึกษารีวิวจากลูกค้าที่เคยทำ Hifu ที่คลินิกนั้นๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
- ตำแหน่งที่ตั้ง : เลือกคลินิกที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านหรือที่ทำงานเพื่อความสะดวก
หากพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ข้างต้นแล้ว จะช่วยให้สามารถเลือกคลินิกทำ Hifu ที่ดีและปลอดภัยได้
ข้อแนะนำในการเลือกคลินิกทำ Hifu
- ไม่ควรเลือกคลินิกที่ทำราคา Hifu ต่ำเกินไป เพราะอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ได้
- ควรนัดปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Hifu เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดหลังทำ Hifu เพื่อผลลัพธ์ที่ดี
hifu ควรทำอย่างน้อย กี่ช็อต
จำนวนช็อตในการทำ Hifu ที่เหมาะสม จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ Hifu และสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
โดยทั่วไปแล้ว ตำแหน่งที่ทำการรักษาด้วย Hifu นั้น จะใช้จำนวน ช็อตโดยเฉลี่ยดังนี้
- หน้าผาก ประมาณ 100-200 ช็อต
- แก้ม ประมาณ 300-500 ช็อต
- ใต้ตา ประมาณ 100-200 ช็อต
- ร่องแก้ม ประมาณ 200-300 ช็อต
- เหนียง ประมาณ 200-300 ช็อต
- หน้าคอ ประมาณ 600-1000 ช็อต
สำหรับสภาพผิว ผู้ที่มีอายุน้อย มีผิวที่แข็งแรง ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน อาจต้องทำ Hifu มากกว่าผู้ที่มีอายุมาก มีผิวที่อ่อนแอ ต้องการผลลัพธ์ที่พอดี
ดังนั้น การทำ Hifu ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำเสมอ เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์จะคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น บริเวณที่ทำ Hifu สภาพผิว อายุ และผลลัพธ์ที่ต้องการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด