The Art Clinic

ถุงใต้ตา บอกโรคอะไรได้บ้าง ? เช็คสัญญาณเตือนจากใต้ดวงตาของคุณ

ถุงใต้ตา บอกโรคอะไรได้บ้าง ? เช็คสัญญาณเตือนจากใต้ดวงตาของคุณ

ถุงใต้ตา คือ อาการบวมหรือโป่งนูนบริเวณใต้ดวงตา เกิดจากไขมันใต้ตาที่สะสมมากขึ้น กล้ามเนื้อเปลือกตาอ่อนแอ ผิวหนังหย่อนคล้อย หรือการคั่งของน้ำเหลว

ปัญหาถุงใต้ตาไม่ได้ถือเป็นโรคเอง แต่เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นจากสาเหตุต่างๆ ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ เช่น การสะสมของของเหลวใต้ตา การเปลี่ยนแปลงของระบบไฟฟ้าและลม การแก้ขัดระบบภูมิคุ้มกัน การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง และปัจจัยพันธุกรรม ถุงใต้ตาสามารถเกิดขึ้นเนื่องจากการผิดปกติในพื้นที่รอบดวงตา ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพหรือความผิดปกติทางเครือข่ายระบบไฟฟ้าหรือลมในร่างกายด้วย

การรักษาถุงใต้ตาอาจแยกตามสาเหตุของปัญหา ตัวอย่างเช่น การใช้ครีมหรือเจลที่เป็นประโยชน์สำหรับผิวหน้า การป้องกันและแก้ไขปัญหาการสะสมของของเหลวใต้ตา การปรับเปลี่ยนรูปแบบการนอนหรือพฤติกรรมที่ส่งผลต่อการพัฒนาถุงใต้ตา เป็นต้น หากคุณมีความกังวลหรืออาการรุนแรงเกินไป คุณควรพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ของคุณ

ผ่าตัดถุงให้ตา

การผ่าตัดถุงใต้ตาแผลด้านในจะทำให้การกำจัดไขมันใต้ตาที่ยื่นนูนออก ทำการเติมไขมันในส่วนร่องหัวตาที่เป็นร่องให้เต็ม และทำการแก้ไขจนถึงต้นเหตุของการทำให้ตาคล้ำ จึงทำให้มีใบหน้าที่ดูสว่างใสอย่างเห็นได้ชัด สู่ดวงตาที่ดูอ่อนเยาว์อย่างสมบูรณ์

เติมไขมันถุงใต้ตา

เป็นการแก้ไขปัญหาริ้วรอยและร่องลึก หรือช่วยปรับรูปหน้าที่ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานกว่า 1 ปี โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากเป็นการนำไขมันของตัวเองมาฉีดเข้าไป โดยในช่วงแรกไขมันที่ฉีดเข้าไปอาจมีการสลายไปบางส่วน และเมื่อผ่านไประยะหนึ่งไขมันก็จะคงตัว

เทคนิคที่ใช้ในการผ่าตัดถุงใต้ตา

เทคนิคพิเศษเฉพาะที่จะแก้ไขถุงไขมันใต้ตาพร้อมๆการตกแต่งหนังใต้ตาให้ดูตึงขึ้น ซึ่งจะทำให้ใบหน้าดูเด็กขึ้นหลังการผ่าตัดถุงใต้ตาและหลังการผ่าตัดจะไม่มีรอยแผลเป็นเนื่องจากการเย็บแผลแบบเทคนิคการซ่อนแผลไว้ตรงเส้นขอบตาล่างพอดี

การผ่าตัดแก้ไขถุงใต้ตาเป็นวิธีการกำจัดถุงใต้ตาและทำให้ดวงตาดูอ่อนเยาว์ลง มีสองประเภทหลักของการผ่าตัดถุงใต้ตา:

  • การผ่าตัดแบบแผลเปิด : แพทย์จะผ่าตัดผ่านแผลเล็กๆ บริเวณใต้ขอบตาล่าง ไขมันส่วนเกินจะถูกลบออก จากนั้นจึงเย็บแผลปิด แผลเป็นจากการผ่าตัดแบบเปิดมักมองไม่เห็น
  • การผ่าตัดแบบไร้แผลเป็น : แพทย์จะผ่าตัดผ่านเยื่อบุตา ไขมันส่วนเกินจะถูกลบออกโดยไม่ต้องสร้างแผลเป็นด้านนอก การผ่าตัดแบบไร้แผลเป็นเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีรอยแผลเป็น keloid

เนื่องจากทำการกรีดในบริเวณเยื่อบุเปลือกตาด้านใน จึงไม่มีการกรีดและเกิดรอยแผลที่ผิวหนังอย่างแน่นอน

ประเภทของการผ่าตัดถุงใต้ตาที่ดีที่สุดสำหรับคุณจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงความรุนแรงของถุงใต้ตา สภาพผิว และความชอบส่วนตัวของคุณ การผ่าตัดถุงใต้ตาเป็นการผ่าตัดนอกเวลาโดยทั่วไป ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง สามารถทำได้ ยาสลบเฉพาะที่หรือยาสลบแบบทั่วไป หลังการผ่าตัด คุณอาจมีอาการบวมและช้ำรอบดวงตา อาการเหล่านี้มักจะดีขึ้นภายในหนึ่งหรือสองสัปดาห์ ผลลัพธ์ของการผ่าตัดถุงใต้ตานั้นถาวร ทั้งนี้ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา เนื่องจากอายุที่มากขึ้น

การรักษา ปัญหา ถุงใต้ตา

การรักษาปัญหาถุงใต้ตาสามารถทำได้โดยใช้วิธีการต่อไปนี้:

  1. การใช้ครีมหรือเจลที่เหมาะสม: ครีมหรือเจลที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดการบวมและบรรเทาอาการของถุงใต้ตาสามารถช่วยเรื่องนี้ได้ ส่วนผสมที่มักพบในครีมหรือเจลเหล่านี้ได้แก่สารสกัดจากพืชเช่น สารสกัดจากสาหร่าย สารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน C และ E และสารช่วยให้ผิวกระจ่างใส เช่น คอลลาเจน
  2. การใช้สำลีหรือวัสดุเย็นบนถุงใต้ตา: การวางสำลีหรือวัสดุเย็นบนถุงใต้ตาที่บวมในระยะเวลาสั้น ๆ สามารถช่วยลดการบวมและลดการอักเสบได้
  3. การดูแลสุขภาพที่ดีทั่วไป: การรักษาสุขภาพที่ดีทั่วไปอาจช่วยลดการเกิดถุงใต้ตา รวมถึงการนอนพักผ่อนเพียงพอ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และการบริโภคอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน
  4. การใช้เทคโนโลยีทางเวช: ในกรณีที่ถุงใต้ตาเกิดขึ้นจากปัญหาทางระบบเช่น โรคอักเสบหรือแพ้ที่เกี่ยวข้องกับตามีความเสี่ยงที่สูง การใช้เทคโนโลยีทางเวชอาจเป็นทางเลือก เช่น การใช้เทคโนโลยีเลเซอร์เพื่อลดการบวมหรือลดการเกิดถุงใต้ตา
  5. การศึกษาการใช้แบบแปลนเชิงบวก: การใช้เทคนิคทางเครือข่ายระบบประสาทแบบต่าง ๆ เช่น การใช้การศึกษาการควบคุมอารมณ์ การปรับเปลี่ยนรูปแบบการนอน หรือการใช้การแนะนำเกี่ยวกับโภชนาการอาจช่วยลดการเกิดถุงใต้ตา

การผ่าตัด แก้ปัญหาถุงใต้ตา

การผ่าตัดสามารถใช้เพื่อแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาในบางกรณีที่มีความรุนแรงและไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการอื่น ๆ ต่อไปนี้คือบางวิธีที่สามารถใช้ในการผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาถุงใต้ตา:

  1. การเอาออกผิวหนังเก่า (Lower Blepharoplasty): ในกรณีที่ถุงใต้ตาเกิดขึ้นเนื่องจากการสะสมของไขมันหรือผิวหนังยื่นออกมา การเอาออกผิวหนังเก่าสามารถช่วยลดมูลฝองไขมันและผิวหนังที่เกินได้
  2. การย้ายไขมัน (Fat Repositioning): ในกรณีที่ถุงใต้ตาเกิดขึ้นจากการสะสมของไขมันใต้ตา แพทย์อาจทำการย้ายไขมันจากตำแหน่งที่เกินมายังตำแหน่งที่ขาดเพื่อลดการบวมและบรรเทาอาการ
  3. การลดการอักเสบ (Chemical Peel): ในบางกรณีที่ถุงใต้ตาเกิดขึ้นเนื่องจากการอักเสบและริ้วรอย การใช้สารเคมีที่ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนสามารถช่วยลดการบวมและปรับลวดลายของผิวหนัง
  4. การลดกระดูก (Orbital Rim Surgery): ในกรณีที่ถุงใต้ตาเกิดขึ้นเนื่องจากการพังทลายของกระดูกรอบดวงตา การลดกระดูกในบางพื้นที่อาจช่วยให้ดวงตาดูมีความเป็นสมดุลมากขึ้น
  5. การลดการเคลื่อนไหว (Canthopexy): การกระตุ้นการยึดของช่องตาส่วนบนสามารถช่วยลดการเคลื่อนไหวและการยืดตัวของช่องตา ซึ่งอาจช่วยลดการเกิดถุงใต้ตาได้

การเลือกใช้วิธีการผ่าตัดขึ้นอยู่กับสถานะของผิวหนังและสาเหตุของปัญหาถุงใต้ตาของแต่ละบุคคล คุณควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณเพื่อรับคำแนะนำและการประเมินสถานการณ์เพื่อการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ

ปัญหาถุงบริเวณใต้ตาบวมเกิดจากอะไร

การสะสมของของเหลวใต้ตา: การสะสมของเหลวใต้ตาเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของถุงใต้ตาที่บวม น้ำตาจากตาและเหลืองเป็นตัวอย่างหนึ่งของของเหลวที่สะสมไว้ใต้ตา การสะสมของเหลวนี้สามารถเกิดขึ้นจากการนอนน้อยหรือการนอนหลับไม่สะดวก เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในการนอนอาจช่วยลดอาการนี้ได้

  1. การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง: การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังใต้ตา เช่น การสูญเสียคอลลาเจน ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากวัยหรือปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อผิวหนัง อาจเป็นสาเหตุของถุงใต้ตาที่บวม
  2. ปัจจัยพันธุกรรม: การมีประวัติครอบครัวที่มีถุงใต้ตาที่บวมอาจช่วยในการแสดงถึงการสืบพันธุ์ได้
  3. การแก้ขัดระบบไฟฟ้าและลม: การเปลี่ยนแปลงของระบบไฟฟ้าและลมในร่างกายอาจทำให้เกิดการบวมและถุงใต้ตา การนอนไม่พอ การเสียน้ำ และการบริโภคเครื่องดื่มที่มีสารเสพติด เป็นต้น
  4. อาการอื่นๆ: ถุงใต้ตาที่บวมอาจเป็นส่วนหนึ่งของอาการที่ร่วมกับโรคหรือสภาวะอื่น ๆ เช่น ภาวะการอักเสบที่ตามมาจากการบาดเจ็บหรือการแพ้ หรือปัญหาทางสุขภาพอื่นที่ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองใต้ตา

การดูแลเพื่อลดการบวมของถุงใต้ตาสามารถทำได้โดยการรักษาสุขภาพที่ดีทั่วไป การนอนพักผ่อนเพียงพอ การดื่มน้ำมากพอเหมาะ และการลดการบริโภคสารที่อาจทำให้เกิดการบวม เช่น อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีความเค็มสูง นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้วิธีการบริหารจัดการเพื่อลดการบวม เช่น การใช้สำลีหรือเช็ดด้วยน้ำแข็งบนถุงใต้ตาที่บวมในระยะเวลาสั้นๆ และการใช้ครีมหรือเจลที่มีส่วนผสมสารต่อต้านอนุมูลอิสระบริเวณใต้ตาเพื่อช่วยลดการบวมและบรรเทาอาการได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามหากถุงใต้ตาของคุณยังคงบวมและเป็นปัญหา คุณควรพบแพทย์เพื่อให้ได้การวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ของคุณ

สาเหตุของการเกิดอาการ ถุงใต้ตาบวม

ถุงใต้ตา คือ อาการบวมหรือโป่งนูนบริเวณใต้ดวงตา เกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้

1. อายุ: เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อเปลือกตาอ่อนแอ ไขมันใต้ตาจึงไหลมารวมกันใต้ดวงตา

2. พันธุกรรม: บางคนมีโครงสร้างใต้ตาที่มีไขมันมาก หรือมีกล้ามเนื้อเปลือกตาที่อ่อนแอตั้งแต่กำเนิด

3. การอดนอน: การนอนหลับไม่เพียงพอ ทำให้เลือดคั่งใต้ดวงตา เกิดเป็นถุงใต้ตา

4. การรับประทานอาหารรสเค็ม: อาหารรสเค็ม ภาวะโซเดียมสูง ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ เกิดเป็นถุงใต้ตา

5. การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ ทำให้เส้นเลือดดำขยายตัว ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด เกิดเป็นถุงใต้ตา

6. โรคประจำตัว: โรคบางชนิด เช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคภูมิแพ้  ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด เกิดเป็นถุงใต้ตา

7. การดื่มแอลกอฮอล์:  แอลกอฮอล์  ภาวะขาดน้ำ ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ เกิดเป็นถุงใต้ตา

8. ภาวะภูมิแพ้: ภาวะภูมิแพ้ อาการตาบวม แดง คัน ระคายเคือง ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

9. การร้องไห้: การร้องไห้นาน ๆ น้ำตาคั่งใต้ดวงตา เกิดเป็นถุงใต้ตา

10. การขยี้ตา: การขยี้ตา  ระคายเคืองต่อดวงตา  ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

11. การใช้เครื่องสำอาง: การใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสม ระคายเคืองต่อดวงตา  ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

12. แสงแดด: แสงแดด ผิวใต้ตาคล้ำ   เกิดเป็นถุงใต้ตา

13. การดื่มน้ำไม่เพียงพอ: การดื่มน้ำไม่เพียงพอ  ภาวะขาดน้ำ   ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

14. ความเครียด: ความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ   ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

15. ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน  ภาวะน้ำเหลืองคั่ง   ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

16. การใช้ยาบางชนิด: ยาบางชนิด  ภาวะน้ำเหลืองคั่ง   ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

ปัญหาถุงใต้ตาบวม บอกโรคอะไรได้บ้าง ?

ถุงใต้ตา มักเป็นปัญหาความงามที่พบได้บ่อย เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุ พันธุกรรม การอดนอน อาหารรสเค็ม โรคประจำตัว อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี ถุงใต้ตาอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางชนิดได้ ดังนี้

1. โรคไต: ภาวะน้ำเหลืองคั่ง  ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

2. โรคหัวใจ: ภาวะเลือดคั่ง  ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

3. โรคภูมิแพ้: ภาวะภูมิแพ้ อาการตาบวม แดง คัน ระคายเคือง   ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

4. โรคเกรฟส์: โรคเกรฟส์ ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนสูง   ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

5. โรคตับ: โรคตับ  ภาวะน้ำเหลืองคั่ง ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

6. โรคโลหิตจาง: โรคโลหิตจาง  ภาวะซีด   ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

7. ภาวะขาดสารอาหาร: ภาวะขาดสารอาหาร  ภาวะซีด   ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

8. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ: ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ภาวะเลือดคั่ง   ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

9. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง: มะเร็งต่อมน้ำเหลือง  ภาวะน้ำเหลืองคั่ง   ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

10. การติดเชื้อ: การติดเชื้อ ภาวะอักเสบ   ส่งผลต่อการเกิดถุงใต้ตา

หากมีถุงใต้ตาที่รุนแรง หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตาบวม ตาแดง ตาแห้ง ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษา อย่างไรก็ตาม ถุงใต้ตาไม่ได้เป็นสัญญาณเตือนของโรคเสมอไป

สาเหตุของ ปัญหาถุงใต้ตาไม่เท่ากัน เกิดจากอะไร

ถุงใต้ตาไม่เท่ากันหรือถุงใต้ตาที่ไม่สม่ำเสมอทั้งสองข้างอาจเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยหลายประการทั้งด้านพันธุกรรมและภาวะสุขภาพของผิวหนัง:

  1. พันธุกรรม: สภาวะถุงใต้ตาที่ไม่เท่ากันอาจมีส่วนที่มาจากพันธุกรรม ในบางกรณี คุณอาจสังเกตเห็นถุงใต้ตาที่ไม่เท่ากันในสมาชิกในครอบครัวหรือญาติที่มีลักษณะคล้ายกัน
  2. ความแตกต่างในการระบายน้ำตา: บางครั้งการแตกต่างในการระบายน้ำตาหรือการสะสมของน้ำตาในด้านใดด้านหนึ่งของตาอาจทำให้เกิดถุงใต้ตาที่ไม่เท่ากัน ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในการตั้งแต่แกนตาหรือโครงสร้างตา
  3. การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง: ผิวหนังที่ปรับตัวหรือสูญเสียคอลลาเจนไม่เท่ากันในส่วนต่าง ๆ ของใบหน้าอาจเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำให้ถุงใต้ตาไม่เท่ากัน
  4. ปัจจัยสุขภาพ: การเปลี่ยนแปลงในสุขภาพอาจมีผลต่อการบวมของถุงใต้ตาและอาจไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่น การปรับตัวหรืออาการที่มีผลต่อการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองใต้ตา

การรักษาถุงใต้ตาที่ไม่เท่ากันอาจคล้ายกับการรักษาถุงใต้ตาที่ปกติ แต่อาจต้องใช้วิธีที่ปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้ความสมดุลระหว่างสองด้านของใบหน้า ในบางกรณีอาจต้องพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อคำแนะนำและการวินิจฉัยที่แม่นยำและเหมาะสมสำหรับสถานการณ์ของคุณ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า